ทำความรู้จัก 3 ขนาดเครื่องปั่นไฟ ใช้งานแบบไหน?

ขนาดเครื่องปั่นไฟ 3 ขนาด ใช้งานต่างกันอย่างอย่างไร? พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับธุรกิจ

สำหรับธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะ Data Center และโรงงานอุตสาหกรรม การเลือกขนาดเครื่องปั่นไฟที่เหมาะสมถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการลงทุนระยะยาว บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการเลือกเครื่องกำเนิดไฟฟ้าตั้งแต่หลักการพื้นฐานไปจนถึงการคำนวณที่แม่นยำ

ขนาดเครื่องปั่นไฟ

เครื่องปั่นไฟ คืออะไร? และทำไมต้องเลือกขนาดให้ถูกต้อง?

เครื่อง Generator หรือเครื่องกำเนิดไฟฟ้าคือระบบสำรองไฟที่แปลงพลังงานกลเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้งานเมื่อไฟฟ้าหลักขาดหาย สำหรับธุรกิจระดับองค์กรและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ การเลือกขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เหมาะสมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการมีไฟสำรอง แต่เป็นเรื่องของการป้องกันความเสียหายต่อระบบ การรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ และการลงทุนที่คุ้มค่าจริงหากเลือกเครื่องที่เล็กเกินไป อาจทำให้เครื่องทำงานหนักเกินกำลัง (Overload) เกิดความเสียหายเร็ว หรือไฟตกในช่วงที่โหลดสูง แต่หากเลือกเครื่องที่ใหญ่เกินความจำเป็น ก็จะเสียเงินลงทุนและค่าบำรุงรักษาโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะสำหรับ Data Center Generator ที่ต้องการความแม่นยำสูง เพราะการหยุดชะงักแม้เพียงไม่กี่วินาทีก็อาจส่งผลกระทบอย่างมหาศาล

ทำความเข้าใจหน่วยวัดกำลังไฟ (KW vs KVA)

ก่อนเข้าสู่การเลือกขนาดเครื่องปั่นไฟ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง KW (Kilowatt) และ KVA (Kilovolt-Ampere) ซึ่งเป็นหน่วยวัดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

  • KW (Kilowatt) คือกำลังไฟฟ้าจริง (Real Power) ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้งานจริง เป็นค่าที่บ่งบอกถึงพลังงานที่ถูกแปลงเป็นงานได้จริง เช่น แสงสว่าง ความร้อน หรือการหมุนของมอเตอร์
  • KVA (Kilovolt-Ampere) คือกำลังไฟฟ้าปรากฏ (Apparent Power) ซึ่งเป็นผลรวมของกำลังไฟฟ้าจริงและกำลังไฟฟ้ารีแอคทีฟ โดยทั่วไปค่า KVA จะมากกว่า KW เสมอ และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองขึ้นอยู่กับ Power Factor (ปัจจัยกำลัง)

สูตรที่ใช้คือ: KW = KVA × Power Factor

โดยทั่วไป Power Factor ของเครื่องปั่นไฟอยู่ที่ประมาณ 0.8 หมายความว่าเครื่องที่มีกำลัง 100 KVA จะสามารถให้กำลังไฟฟ้าจริงประมาณ 80 KW สำหรับ Data Center และอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก ควรใช้ค่า Power Factor ในการคำนวณเพื่อความแม่นยำ

ประเภทของเครื่องปั่นไฟตามขนาดและการใช้งาน

การจำแนกขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับหลัก แต่ละระดับมีข้อแตกต่างทั้งด้านกำลังการผลิต ราคา และการใช้งานที่เหมาะสม

เครื่องปั่นไฟขนาดเล็ก (1-10 KVA)

เครื่องปั่นไฟในกลุ่มนี้มักใช้สำหรับงานเบาหรืองานชั่วคราว เหมาะกับการเป็นไฟสำรองในสถานที่ขนาดเล็ก หรือโครงการก่อสร้างชั่วคราว อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจระดับองค์กร Data Center หรือโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องในขนาดนี้มักไม่เพียงพอต่อความต้องการ

เครื่องปั่นไฟขนาดกลาง (10-100 KVA)

นี่คือช่วงที่นิยมใช้กันมากในธุรกิจขนาดกลาง โรงงาน SME และอาคารสำนักงานขนาดกลาง เครื่องในกลุ่มนี้มีความสมดุลระหว่างกำลังการผลิต ราคา และขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถรองรับโหลดที่หลากหลายและมีความคุ้มค่าในการลงทุน

เครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ (100 KVA ขึ้นไป)

นี่คือระดับที่ใช้สำหรับงานหนักและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น Data Center Tier 3 และ Tier 4, โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่, โรงพยาบาล และอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เครื่องสำรองไฟขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้มักมาพร้อมกับฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น ระบบ ATS (Automatic Transfer Switch), Remote Monitoring และสามารถ Integration กับ BMS (Building Management System)

สำหรับ Data Center ที่ต้องการความมั่นคงสูงสุด การเลือกเครื่องขนาด 100-200 KVA หรือมากกว่าเป็นเรื่องปกติ โดยอาจมีการติดตั้งแบบ Redundant (N+1 หรือ 2N) เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะไม่หยุดชะงักแม้เครื่องใดเครื่องหนึ่งมีปัญหา

4 ขั้นตอนการคำนวณหาขนาดเครื่องปั่นไฟที่เหมาะสม

การเลือกขนาดเครื่องปั่นไฟให้เหมาะสมต้องอาศัยการคำนวณที่ถูกต้องและพิจารณาปัจจัยหลายประการ ต่อไปนี้คือ 4 ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การเลือกเครื่องของคุณแม่นยำและคุ้มค่า

1. รวบรวมรายการอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ต้องการใช้

เริ่มต้นด้วยการสำรวจและบันทึกรายการอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดที่ต้องการให้เครื่องปั่นไฟรองรับ สำหรับ Data Center ต้องพิจารณาทั้ง IT Load (เซิร์ฟเวอร์ สวิตช์ storage) และ Non-IT Load (ระบบปรับอากาศ ระบบระบายความร้อน ระบบแสงสว่าง ระบบรักษาความปลอดภัย) รวมถึง UPS ที่ต้องการให้เครื่องปั่นไฟชาร์จระหว่างการทำงาน

2. คำนวณ “Running Watt” (วัตต์ต่อเนื่อง)

หลังจากได้รายการอุปกรณ์แล้ว ให้รวมกำลังไฟฟ้า (Wattage) ของอุปกรณ์ทั้งหมดที่จะทำงานพร้อมกัน นี่คือโหลดต่อเนื่องที่เครื่องปั่นไฟจะต้องรองรับตลอดเวลา สำหรับอุปกรณ์ที่ระบุเป็น Ampere สามารถแปลงเป็น Watt ได้จากสูตร : Watt = Volt × Ampere × Power Factor

3. คำนวณ “Starting/Surge Watt” (วัตต์กระชาก)

อุปกรณ์บางประเภท โดยเฉพาะมอเตอร์และคอมเพรสเซอร์ ต้องการกำลังไฟฟ้าสูงมากในช่วงสตาร์ทเครื่อง (อาจสูงกว่ากำลังปกติ 2-3 เท่า) ต้องคำนวณค่า Surge Watt โดยหาอุปกรณ์ที่มี Starting Watt สูงที่สุด แล้วบวกกับ Running Watt ของอุปกรณ์อื่นที่ทำงานอยู่
สำหรับระบบ Data Center ที่ใช้ระบบปรับอากาศและระบบระบายความร้อนขนาดใหญ่ การคำนวณ Surge Watt ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากคอมเพรสเซอร์มีค่า Starting Current สูงมาก

4. กำหนดขนาดเครื่องปั่นไฟที่เหมาะสม

หลังจากได้ค่า Running Watt และ Surge Watt แล้ว ควรเลือกเครื่องที่มีกำลังมากกว่าค่าสูงสุดที่คำนวณได้อย่างน้อย 20-25% เพื่อ Safety Margin และรองรับการขยายระบบในอนาคต

ตัวอย่าง : หากคำนวณได้ว่าต้องการกำลังสูงสุด 80 KW ควรเลือกเครื่องที่มีกำลังอย่างน้อย 100 KVA (ซึ่งให้กำลังจริงประมาณ 80 KW ที่ Power Factor 0.8) หรือมากกว่านั้น

ปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อ

นอกจากการคำนวณขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแล้ว ยังมีปัจจัยเทคนิคอื่น ๆ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพและความเหมาะสมในการใช้งาน

ประเภทเชื้อเพลิง (ดีเซล vs. เบนซิน)

เครื่องปั่นไฟดีเซล เหมาะสำหรับการใช้งานระยะยาวและโหลดสูง มีความทนทาน อายุการใช้งานยาว และประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่าเครื่องเบนซิน ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกมาตรฐานสำหรับ Data Center และโรงงานอุตสาหกรรม

อีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมคือ เครื่องปั่นไฟที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือ LPG ซึ่งสะอาดกว่า ราคาเชื้อเพลิงถูกกว่าในระยะยาว และเหมาะกับงานที่ต้องการพลังงานต่อเนื่อง เช่น Smart Farm หรือโรงงานที่มุ่งเน้นความยั่งยืน

ระบบไฟฟ้า (1 เฟส vs. 3 เฟส)

สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและ Data Center มักใช้ระบบ 3 เฟส (380V/400V) เนื่องจากสามารถรองรับโหลดสูงได้ดีกว่าและมีประสิทธิภาพการส่งกำลังไฟฟ้าสูง อุปกรณ์ขนาดใหญ่เช่นเซิร์ฟเวอร์ แอร์ปรับอากาศขนาดใหญ่ ล้วนใช้ระบบ 3 เฟสทั้งสิ้น

ระบบระบายความร้อนและความดังของเสียง

เครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่ผลิตความร้อนสูง จึงต้องมีระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ระบบ Radiator Cooling เป็นมาตรฐานสำหรับเครื่องขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาระดับเสียงด้วย โดยเฉพาะหากติดตั้งในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านเสียง การเลือกเครื่องที่มี Soundproof Canopy หรือการติดตั้งในห้องกันเสียงจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้

การติดตั้งเครื่องปั่นไฟที่ถูกต้องตามมาตรฐานก็มีส่วนสำคัญในการทำให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

สรุป

การเลือกขนาดเครื่องปั่นไฟที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องที่ควรตัดสินใจด้วยความเร่งรีบ สำหรับธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงสูง เช่น Data Center, Telco และ Cloud Provider การลงทุนในเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่มีคุณภาพและมีขนาดเหมาะสมคือการลงทุนในความต่อเนื่องทางธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัท การคำนวณที่ถูกต้อง พิจารณาปัจจัยทางเทคนิคครบถ้วน และเลือกผู้จำหน่ายที่ให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายที่ดี จะช่วยให้คุณได้เครื่องที่ใช่และคุ้มค่าที่สุดในระยะยาว

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าคุณภาพสูงที่เหมาะกับงานอุตสาหกรรมและ Data Center แบรนด์ YUCHAI จาก Grandline Innovation นำเสนอเครื่องปั่นไฟดีเซลและก๊าซที่ผ่านมาตรฐานสากล มีทีมวิศวกรคอยให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่เหมาะสม พร้อมบริการติดตั้งและ PM ที่ครบวงจร เพื่อให้ระบบพลังงานสำรองของคุณพร้อมรองรับทุกสถานการณ์

แชร์บทความนี้..